ภาพจาก kuvo
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่จะช่วยรังสรรค์ให้มื้ออาหารของคุณกลายเป็นช่วงเวลาที่แสนพิเศษได้ และการจับคู่ไวน์กับอาหารประเภทต่าง ๆ ก็เป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาสำคัญท่ามกลางบรรดานักดื่มนักกินเสมอมา ว่าแต่การจับคู่ไวน์กับอาหารนั้นทำอย่างไร? วันนี้เรามีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการจิบไวน์บอร์กโดซ์กับอาหารมาบอกเล่า แล้วคุณจะได้พบว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยสักนิด และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เป็นเสน่ห์ที่ดีมากอย่างหนึ่งด้วย
ไวน์บอร์กโดซ์นั้นเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากว่าไวน์ประเภทนี้แม้ในทางเทคนิคจะถูกแบ่งชนิดอย่างยิบย่อยหลากหลายแขนงมาก แต่หากพูดถึงความเป็นไวน์แล้วก็ไม่ได้พิสดารจนทำให้งง เราจะเลือกได้เพียงไวน์แดงหรือขาวที่มีอายุมากหรือน้อย และไวน์หวานเท่านั้น หลักในการเลือกไวน์ก็คือคุณจะต้องตัดสินใจให้ได้ว่าในมื้อพิเศษนั้น ๆ ไวน์หรืออาหารควรจะโดดเด่นมากกว่ากัน
ภาพจาก vancitybuzz
โดยมากคุณมักจะหยิบเอาไวน์ที่ดีที่สุดที่พอจะจับจองได้มาเป็นตัวตั้งเสมอ แต่อันที่จริงหากคุณไม่มีแผนที่ชัดเจนพอเกี่ยวกับมื้ออาหารสุดพิเศษของคุณแล้ว ความเป็นไปได้ที่อาหารจานเด็ดในมื้อนั้นจะกลบรสชาติไวน์ที่คุณเตรียมมาจนมิดก็มีอยู่มากทีเดียว ดังนั้นคุณควรจัดแจงทุกอย่างให้ลงตัวเสียก่อน
เมื่อคุณเลือกไวน์ประจำมื้อได้แล้ว อย่างแรกที่ห้ามพลาดเลยคือเรื่องอุณหภูมิ ไวน์ขวดนั้นจะต้องถูกแช่เย็นและพร้อมเสิร์ฟในระดับอุณหภูมิที่ถูกต้องเหมาะสม (จะดูข้างขวด เปิดตำราหรือปรึกษาอากู๋ก็สุดแล้วแต่) และต่อมาคือหากคุณคิดจะดีแคนท์ไวน์แล้วล่ะก็ อย่าแช่ไวน์ไว้นานจนลืม แต่ควรจับเวลาด้วย
ที่เกริ่นไปนั้นไม่ใช่เคล็ดลับอะไรจากเรา แต่เป็นเรื่องพื้น ๆ ที่คอไวน์ตัวจริงไม่ควรทำพลาดก่อนที่จะเริ่มดื่มด่ำไวน์อย่างมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่คุณมีแขกที่รอชมและรอชิมอย่างมีความหวัง
มีเรื่องหนึ่งที่เป็นเกร็ดข้อมูลที่น่าสนใจจากผู้รู้และพวกเราก็ควรตระหนักไว้ก็คือปัญหาหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นในการดื่มไวน์เข้าคู่กับอาหารนั้นก็คือความพยายามของเชฟที่ต้องการรังสรรค์ผลงานอาหารขึ้นอย่างสุดฝีมือนั่นเอง เรื่องนี้ฟังดูแล้วอาจจะงงว่ามันไม่ดีอย่างไร ประเด็นก็คือว่าอาหารรสดี รสซับซ้อนจัดจ้านที่ทำออกมานั้นย่อมถูกคิดมาจากหลักที่ว่าให้อาหารเป็นตัวชูโรงนั่นเอง ดังนั้นไวน์จึงมักกลายสภาพเป็นพระรองของค่ำคืนและอาจถูกกลบจนลบเลือนหายไปในที่สุด ในฐานะเจ้าภาพของงานหรือผู้ออกแบบมื้ออาหารนั้น ๆ คุณจึงควรสื่อสารความต้องการของคุณให้ชัดเจนที่สุด และระบุไปตั้งแต่ต้นเลยว่าไวน์หรืออาหารจะเป็นพระเอกของเรื่องกันแน่ แล้วจึงเดินหน้าต่อ
ภาพจาก overbergproperty
เอาล่ะ เมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว เรามาดูกันเลยว่าเคล็ดลับ 9 ข้อในการจับคู่ไวน์กับมื้ออาหารมีอะไรบ้าง
1) เลือกไวน์และเมนูโปรดของตัวคุณเอง ข้อนี้อาจฟังดูตลกเพราะไม่มีอะไรแปลก แต่จริง ๆ แล้วนี่คือสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง หลายคนไปเปิดหนังสือหรือฟังจากคนอื่นมาว่าคู่นั้นดีคู่นี้ดี และลองทำตามทั้งที่รู้อยู่แต่แรกแล้วว่าไม่ชอบเมนูนั้น ๆ หรือไวน์ฉลากนั้น ๆ เราขอบอกเลยว่าไม่ไหวอย่าฝืน หากคุณชอบแกงหอยขมและดื่มไวน์แดงบอร์กโดซ์ใหม่ ๆ ก็ลองคู่นี้ดู ไม่เสียหาย
2) จัดลำดับความสำคัญ อย่างที่บอกไว้ข้างต้น วัตถุประสงค์ของคุณควรมีความชัดเจนว่าไวน์หรืออาหารควรเด่นกว่ากัน พยายามจับคู่ไวน์ที่มีรสชาติไม่ซับซ้อนนักกับอาหารที่เน้นเรื่องรสชาติ และไวน์ที่มีรสลึกล้ำกับอาหารที่เรียบง่าย ให้ส่งเสริมและประคับประคองกัน
3) เลือกเสิร์ฟอาหารที่เรียบง่ายกับไวน์ที่ดีที่สุดของคุณ หากคุณไม่อยากจะให้กลิ่นรสที่ซับซ้อนจากไวน์ที่มีทั้งกลิ่นทรัฟเฟิล เครื่องเทศ และใบยาสูบซ้อนกันอย่างลงตัว ต้องปะปนหรือถูกกลบด้วยอาหารรสชาติเข้มข้นจัดจ้านไปเสียก่อน
4) ตระหนักว่าไวน์บอร์กโดซ์แต่ละชนิดย่อย ๆ มีกลิ่นรสเฉพาะตัวต่างกัน ในยุคสมัยของเรานั้นข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับไวน์ต่าง ๆ หาได้ไม่ยากนัก แต่การรู้และจำได้คร่าว ๆ ก็ไม่เลว ด้วยความรู้เช่นนี้คุณอาจสามารถอธิบายต่อแขกเหรื่อได้ว่าเพราะคุณชื่นชอบรสชาติของไวน์จาก “ฝั่งขวา”(ของแม่น้ำจีครงด์ - Gironde) คุณจึงเลือกไวน์ที่เบลนด์จากองุ่นแมร์กโลต์ (Merlot) เป็นหลัก เป็นต้น ดูมีเสน่ห์ไม่ใช่เล่น
5) จำว่าไวน์อายุน้อยมักมีปริมาณแทนนินสูง ไวน์เหล่านี้จึงมีรสจัดโดยตัวเองและสามารถเข้าคู่กับอาหารที่มีรสชาติมากอย่างสตูว์และเนื้อแกะได้เช่นกัน ในขณะที่ไวน์อายุมากรสนุ่มลิ้นมีแนวโน้มจะถูกกลบคุณลักษณะไปจนหมด
6) เข้าใจว่าไวน์แดงกับเนื้อแดงไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว เพราะทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญคือการออกแบบอาหารจานนั้น ๆ ต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น เมนูปลาที่ใช้มะนาวอย่างเดียวอาจไม่เหมาะกับไวน์แดง แต่หากพ่อครัวเพิ่มเติมองค์ประกอบอื่นอย่างเห็ด มะเขือเทศ หรือน้ำสต็อกจากเนื้อลงไปด้วยแล้ว ไวน์แดงจะกลายเป็นคำตอบทันที
7) จับคู่ไวน์กับเนยแข็งตอนปลายมื้อ โดยมากการดื่มไวน์ขาวซึ่งมีรสติดหวานติดเปรี้ยวบาง ๆ กับเนยแข็งซึ่งมีลักษณะนัวเค็มนั้นทำได้ง่ายกว่า แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความชอบล้วน ๆ ผู้ที่นิยมดื่มไวน์แดงกับเนยแข็งมากกว่าอะไรทั้งสิ้นก็มีไม่น้อยทีเดียว
8) นึกไว้ว่าไวน์ขาวบอร์กโดซ์คือทางสะดวก ด้วยรสชาติที่ให้ความสดชื่นได้ดีและเหมาะกับเนื้อขาวต่าง ๆ ตั้งแต่อาหารทะเลจนถึงเนื้อไก่ ไวน์ขาวจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเริ่มต้น ในการนี้ลองเลือกไวน์ที่ปรุงผสมผสาน Sauvignon Blanc กับ Semillon ดูก็เข้าท่าดี ส่วนไวน์ขาวหวานจากบอร์กโดซ์นั้นก็เหมาะกับอาหารหลากหลายเช่นกัน ตั้งแต่เมนูที่มีรสหวานจนถึงรสจัด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอาหารเอเชียรสแรง ฟัวกราส์ หรือออยสเตอร์ ก็เข้ากันได้ดีทั้งนั้นกับไวน์ Sauternes
9) เนื้อสัมผัสของอาหารและไวน์ควรสอดรับกัน อาหารที่มีเนื้อสัมผัสข้นกับไวน์เนื้อแน่นจะส่งเสริมกันและกันเป็นอย่างดี และเช่นเดียวกันกับอาหารเนื้อสัมผัสเบาบางซึ่งเข้าคู่กันดีกับไวน์เนื้อบาง
ภาพจาก confusedsandals
เคล็ดลับที่ไม่ลับของเราก็มีเพียงเท่านี้ คุณจะสนใจทำตามหรือไม่ก็แล้วแต่ความสบายใจ เพราะเรายืนยันว่าหลักยึดที่สำคัญที่สุดในการดื่มไวน์ก็คือความสุขใจ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่คุณพึงตะหนักไว้อีกอย่างก็คือบรรยากาศโดยรวมของอาหารมื้อนั้น ๆ ด้วย เพราะเราอนุมานเอาว่าหากเป็นอาหารมื้อพิเศษแล้ว แขกร่วมโต๊ะของคุณก็คงเป็นคนที่คุณอยากจะใช้เวลาดี ๆ ด้วยกันอยู่แล้ว จริงไหม? (หวังว่านะ)
เรียบเรียงและดัดแปลงจาก thewinecellarinsider
]]>
ภาพจาก mymediaworld
ในสังคมสุราเมรัยที่แสนซับซ้อนนั้น มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่แสร้งว่ารอบรู้เชี่ยวชาญเรื่องการดื่มไวน์ ในขณะที่หลายต่อหลายคนก็เลือกไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประจำใจโดยแท้จริงและสามารถบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับไวน์ได้อย่างแตกฉาน แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่มุ่งฝึกฝนตัวเองจนกระทั่งก้าวไปสู่ความเป็นมืออาชีพหรือเทียบเท่าในด้านการชิมไวน์
คำถามข้อหนึ่งก็คือ อะไรคือสิ่งที่อยู่ระหว่างบุคคลทั่วไปที่ดื่มไวน์และมืออาชีพล่ะ? นักชิมไวน์อาชีพสามารถ “เข้าถึง” อะไรที่นักดื่มทั่วไปหรือพวกขี้คุยทำไม่ได้?
จริงอยู่ว่านักชิมไวน์อาชีพอาจมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับที่มาของไวน์ในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องประวัติศาสตร์ การเพาะปลูกองุ่นแต่ละสายพันธุ์ ไปจนถึงกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นกับไวน์ แต่แน่นอนว่าความรอบรู้เหล่านี้ไม่ได้นำมาซึ่งการเป็น “นักชิมไวน์” ที่ดีเลิศขึ้นกว่าเดิมแต่อย่างใด การฝึกฝนบนหลักการที่ถูกต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่างหากที่จะช่วยผลักดันในจุดนั้นได้ ดังนั้นเราจึงมีคำตอบกลาย ๆ ว่า หากพูดถึงเรื่อง “การชิมไวน์” อย่างเดียวแล้วล่ะก็ ใคร ๆ ก็สามารถจะ “เป็น” ได้ทั้งนั้น
สิ่งแรกที่ต้องตระหนักให้ชัดเจนก็คือ การชิมไวน์นั้นต่างจากการดื่มไวน์ และไม่ได้ใช้ทักษะอย่างเดียวกันกับกับการประเมินไวน์ แม้ว่าทั้ง 3 สิ่งนี้จะเกี่ยวพันกันอย่างมากก็ตาม
การชิมไวน์: การชิมไวน์มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาทำความเข้าใจไวน์และนำไปสู่ข้อสรุปว่าผู้ชิมจะชื่นชอบหรือไม่อย่างไร ผู้ชิมจะคำนึงถึงความสมดุล โครงสร้าง สัมผัสของน้ำไวน์ ความหวาน ความเปรี้ยว ความซับซ้อนของกลิ่นและความยาวนานทิ้งท้ายของประสบการณ์ทั้งหมด
การประเมินไวน์: การประเมินไวน์นั้นมักเกิดขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ โดยเฉพาะการเปรียบไวน์ประเภทเดียวกัน และมักจะมีลักษณะของการวิพากษ์วิจารณ์ที่ลึกกว่าการชิมไวน์
การดื่มไวน์: การดื่มไวน์ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากเลย จริงไหมล่ะ เพราะการสร้างความสุขให้กับผู้ดื่มคือบทบาทหน้าที่ที่สำคัญที่สุดซึ่งไวน์ขวดหนึ่งจะทำได้
ภาพจาก independent
สำหรับเราแล้วเรื่องความชอบไม่ชอบนั้นไม่มีถูกหรือผิด บ่อยครั้งเราอาจได้พบเข้ากับ “กูรูไวน์” ที่ประกาศศักดาว่าเป็นผู้ชี้ขาดในวงการไวน์และสามารถใช้คำศัพท์เฉพาะทางชวนเวียนหัวพูดถึงไวน์ต่าง ๆ ได้ไม่รู้จบ การเรียนรู้จากคนเช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เสียหาย แต่อย่าให้เขาเข้ามากำกับวิถีรสนิยมของคุณ ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ นี่คือแนวทางสำคัญ
ดังนั้น เมื่อคุณชิมไวน์ เราขอให้คุณใช้ประสาทสัมผัสของคุณอย่างเต็มที่ “ดู ดม อม กลืน” ให้เวลากับการทำความเข้าใจรูปรสกลิ่นสีของไวน์ที่คุณต้องการชิม ยิ่งบ่อยยิ่งดี ยิ่งมากยิ่งกระจ่างชัด (แต่ถ้ากลืนบ่อยมาก ๆ จะเมา) และต่อไปนี้คือหลักยึดสำหรับการชิมไวน์
ภาพจาก vinepair
การดูไวน์
สีของไวน์นั้นบ่งบอกอะไรได้มากมาย วิธีดูสีไวน์นั้นควรทำโดยเอียงแก้วเล็กน้อยในขณะที่ถือแก้วไวน์อยู่เหนือพื้นหลังสีขาว จะเป็นผ้าปูโต๊ะ กำแพง หรืออะไรก็ตามแต่ จากนั้นให้พินิจความเข้มของสีน้ำไวน์จากบริเวณขอบไปสู่กึ่งกลางของแก้ว การพิจารณาทำความเข้าใจข้อมูลที่ได้รับในจุดนี้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อผู้ชิมมีความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าองุ่นจากสายพันธุ์และฤดูกาลต่าง ๆ จะนำไปสู่ไวน์ที่มีหน้าตาอย่างไร และไวน์เหล่านั้นควรมีลักษณะปรากฏอย่างไรในช่วงอายุที่แตกต่างกัน
เราขอยกตัวอย่างไวน์บอร์กโดซ์ ซึ่งเป็นไวน์ที่มักจะมีสัดส่วนขององุ่น Cabernet Sauvignon หรือไม่ก็ Merlot อยู่มาก ไวน์บอร์กโดซ์ที่มีอายุไม่มากนักจึงมีสีเข้ม สีม่วงทึบโดดเด่นและมีลักษณะเป็นประกาย ไวน์ที่มีสีเข้มนั้นสื่อถึงไวน์ที่เข้มข้นเต็มปากเต็มคำ และสำหรับไวน์บอร์กโดซ์อายุน้อย ๆ ความเข้มข้นก็เป็นสิ่งที่ดี (เราชอบ) เพราะเราไม่นิยมไวน์ที่เบาบางและติดรสดิบ ๆ ออกเปรี้ยวมาด้วย (ซึ่งแน่นอนว่ามีคนที่ชอบไวน์แบบนี้เช่นกัน)
ภาพจาก winefolly
นอกจากสีแล้ว เราก็ขยับมาดู “ขาไวน์” ขาที่พูดถึงนี้มักเป็นคำที่คอไวน์พูดถึงกันอยู่บ่อย ๆ และก็เป็นสิ่งที่ใครหลายคนมักเปิดประเด็นเพื่อทำให้คนอื่นคิดว่าช่ำชองเรื่องการดื่มไวน์อย่างมาก เจ้าขาไวน์ที่พูดถึงนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก แต่เราก็สามารถอนุมานลักษณะบางอย่างของไวน์ได้จากขาพวกนี้เช่นกัน ขาไวน์ที่ใหญ่และติดข้างแก้วได้ยาวนานอาจแสดงถึงระดับแอลกอฮอล์ ความหวาน และสัมผัสที่หนักแน่นของไวน์นั้น ๆ ได้ ในขณะที่ขาไวน์ซึ่งเล็กเรียวและเหือดหายไปอย่างรวดเร็วนั้นเป็นลักษณะของไวน์ที่เบาบางกว่า แต่พึงตระหนักว่าขาไวน์ไม่ใช่ตัวชี้วัดความเลิศเลอของไวน์ขวดใดขวดหนึ่งเนื่องจากมันเกี่ยวพันกับชนิดขององุ่นและประเทศที่มาของไวน์ขวดนั้นด้วย
ภาพจาก winerist
การดมไวน์
เมื่อคุณได้เอาใจใส่กับการดูสีไวน์แล้ว การพิสูจน์ทราบกลิ่นไวน์ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในการเป็นนักชิมไวน์ที่ดีนั้นก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ยากมากเกินไป สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือแกว่งแก้วและสูดดมกลิ่นของไวน์ และพึงตระหนักว่ารสชาติของอะไรก็ตามในโลกนี้เกิดจากองค์ประกอบของกลิ่นถึงร้อยละ 85 เลยทีเดียว ดังนั้นต้องตั้งใจให้มาก
ความมุ่งหมายของการแกว่งแก้วก็เพื่อทำให้น้ำไวน์ได้สัมผัสกับออกซิเจนในอากาศและปลดปล่อยกลิ่นหอมหวนของมันออกมาอย่างเต็มที่ พร้อมกันนั้นก็เป็นการกระจายน้ำไวน์ให้วิ่งไปเคลือบฉาบผนังแก้วเอาไว้ให้ทั่วด้วย ทั้งนี้ การแกว่งแก้วไวน์ที่ดูสบาย ๆ ไม่ซับซ้อนนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายดายสำหรับคอไวน์มือใหม่ ข้อแนะนำก็คือคุณควรวางแก้วไวน์ไว้บนโต๊ะที่ราบเรียบเสียก่อนและแกว่งวนแก้วในขณะที่ฐานของแก้วเลื่อนไปบนโต๊ะอย่างมั่นคง
ภาพจาก pinterest
เมื่อคุณแกว่งน้ำไวน์ได้อย่างน่าพอใจแล้ว ต่อไปก็คือการสูดดม วิธีการหนึ่งที่นักชิมไวน์ทำกันก็คือการเปิดปากเล็กน้อยในขณะที่สูดกลิ่นและหายใจออก การสูดเช่นนี้ควรทำหลายครั้งสักหน่อยเพื่อให้เข้าถึงกลิ่นต่าง ๆ ที่ซ้อนทับกันอยู่ จะสูดลมหายใจสั้นหรือยาวหรือผสมผสานกันไปก็ได้ เรื่องนี้เป็นเทคนิคปลีกย่อยส่วนบุคคล
กลิ่นของไวน์ที่ดีและไม่ดีนั้นชัดเจน โดยทั่วไปหากคุณลองสูดกลิ่นดูแล้วไม่พบว่าไวน์มีกลิ่นอับชื้นเหม็นหืนหรือบูดเปรี้ยว ไวน์นั้นก็จะมีกลิ่นที่น่าพึงพอใจ แต่ความยุ่งยากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็คือการแยกชนิดของกลิ่นต่าง ๆ ให้ออกซึ่งตรงจุดนี้เราพบว่าแม้แต่ละคนจะย่อมมีประสาทสัมผัสที่ช้าเร็วแตกต่างกัน แต่สิ่งที่มีบทบาทมากกว่าก็คือเรื่อง “ความทรงจำต่อกลิ่น” ต่างหาก นักชิมไวน์ที่ดีควรจะสามารถจดจำกลิ่นของสิ่งต่าง ๆ บนโลกได้และสามารถสื่อสารออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรมเด่นชัดเนื่องจากว่าไวน์ไม่ได้มีเพียงกลิ่นเดียวหากแต่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมซับซ้อนหลายชั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ในโลกของการชิมไวน์ก็มีความพยายามที่จะระบุจุดอ้างอิงสำหรับใช้ร่วมกันเอาไว้ เพื่อให้นักชิมสามารถบรรยายถึงกลิ่นต่าง ๆ ได้เที่ยงตรงมากขึ้น ผู้รู้แนะนำว่า “กงล้อกลิ่นไวน์” ต่าง ๆ ที่แพร่หลายกันในแวดวงคอไวน์เป็นเครื่องมือที่ดีและควรใช้สอยเพื่อการนี้
ภาพจาก bewinesavvy
กลิ่นของไวน์ที่ดีนั้น หากเป็นโทนผลไม้ก็ควรสะอาดสดชื่น หากเป็นกลิ่นดินหรือแร่ธาตุก็ไม่ควรมีลักษณะสกปรกชวนให้คิดถึงฝุ่นหรือรา
ภาพจาก winefolly
เรามีตัวอย่างของการดมกลิ่นไวน์บอร์กโดซ์ซึ่งนักชิมบรรยายถึงกลิ่นหอมแบบผลไม้สีเข้ม เช่น บลูเบอร์รีและลูกพลัม และชี้ว่าเป็นกลิ่นที่สะท้อนถึงไวน์ที่ใช้องุ่นที่ค่อนข้างสุกในการผลิต ง่าย ๆ ก็คือยิ่งเป็นกลิ่นหอมแบบผลไม้สีเข้มขึ้นมาเท่าไหร่ ก็ยิ่งสื่อถึงองุ่นที่สุกจัดมากขึ้นเท่านั้น และนั่นย่อมหมายถึงปริมาณน้ำตาลและระดับแอลกอฮอล์ของไวน์ด้วย อย่างไรก็ดีหากกลิ่นผลไม้สีเข้มที่คุณได้รับนั้นมีความเข้มข้นมากจนคล้ายกับลูกพรุนหรือลูกเกดแล้วล่ะก็ไวน์ของคุณอาจถูกผลิตขึ้นจากองุ่นที่งอมเกินไปและนั่นแสดงถึงไวน์ที่ขาดความสดชื่นในรสชาติได้
ในทางกลับกัน หากไวน์ของคุณมีกลิ่นคล้ายผลไม้สีแดงอย่างเบอร์รีหรือเชอรี่ คุณก็จะสามารถอนุมานได้ว่าไวน์แก้วนั้นถูกผลิตขึ้นด้วยองุ่นที่ยังไม่สุกเต็มที่ไวน์เหล่านี้มักมีรสชาติโทนสว่างและอาจติดเปรี้ยวได้ นอกจากกลิ่นหอมแรกที่คล้ายผลไม้ที่ว่ามาแล้ว กลิ่นสองซึ่งมีโทนอบอุ่นแบบไม้อย่างไม้โอ๊ก วานิลลา กาแฟ และขนมปังปิ้งก็มีความสำคัญ เช่น ไวน์อายุน้อยนั้นควรมีกลิ่นไม้โอ๊กอ่อน ๆ ติดมาด้วย เป็นต้น ส่วนไวน์ที่มีอายุมากขึ้นแล้วก็มักจะมีกลิ่นรสที่พอคาดการณ์ได้คือสำหรับไวน์แดงก็น่าจะเป็นกลิ่นโทนทึบ เช่น กลิ่นดิน ใบยาสูบ เห็ดทรัฟเฟิลและกล่องซิการ์ เป็นต้น ส่วนไวน์ขาวก็มักจะมาในโทนดอกไม้ เนย คาราเมล น้ำผึ้ง เครื่องเทศและแร่ธาตุ เป็นต้น
ภาพจาก thedrinkbusiness
การลิ้มรสไวน์
แน่นอนว่าเมื่อดูสีและเช็คกลิ่นเป็นที่เรียบร้อย ความเข้าใจที่เรามีต่อไวน์แก้วหนึ่ง ๆ ก็ย่อมชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งเรายังเข้าใจตัวเองด้วยว่าเพราะสาเหตุใดเราจึงชอบหรือไม่ชอบไวน์นั้น ๆ เราอธิบายได้ว่ากลิ่นรสแบบไหนที่เราพึงใจเป็นพิเศษ ขั้นตอนสุดท้ายในการชิมไวน์ซึ่งก็คือการลิ้มรสก็มาถึง
ในการลิ้มรสไวน์ เรามีคำแนะนำ 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้
1.ดีแคนท์ไวน์ หรือให้เราถ่ายไวน์จากขวดไปพักไว้ในโถขนาดใหญ่เพื่อให้ไวน์ได้สัมผัสกับออกซิเจนเต็มที่อย่างที่เขาเรียกกันว่าไวน์ “หายใจ” นั่นเอง การทำเช่นนี้ส่งผลให้ไวน์มีรสนุ่มนวลขึ้นและแสดงกลิ่นที่ซับซ้อนได้ดีขึ้นกว่าเดิมโดยเฉพาะบรรดาไวน์อายุน้อยทั้งหลาย (และหากผู้ทำมีความชำนาญในการดีแคนท์แล้ว ก็สามารถลดปัญหาเรื่องตะกอนในไวน์เก่าอายุมากได้ด้วย)
2.ชิมไวน์ซึ่งมีอุณหภูมิที่ถูกต้องและใช้แก้วที่มีรูปทรงเหมาะสม โดยไวน์แดงควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิราว 16-18 องศาเซลเซียส เพื่อรักษากลิ่นรสที่สดชื่นไว้ ส่วนไวน์ขาวนั้นเสิร์ฟที่อุณหภูมิต่ำกว่า คือราว 13-16 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ในประเทศอบอ้าวอย่างบ้านเรานั้นก็ควรพิจารณาเลือกช่วงต่ำเป็นสำคัญ ในประเด็นเรื่องแก้วนั้นไม่มีอะไรยากเย็นนัก ปัจจุบันตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำมีแก้วไวน์ให้เลือกซื้อมากมาย ในการชิมไวน์เราควรเลือกแก้วใสแบบมีก้าน ไม่ต้องมีสีสันอะไร และมีขนาดของส่วนที่รองรับน้ำไวน์ไม่เล็กจนเกินไปและมีส่วนล่างที่ใหญ่กว่าส่วนบนเพื่อให้เหมาะต่อการแกว่งแก้วไวน์
3.จิบไวน์แต่ละคำไม่มากหรือน้อยเกินไป จากนั้นเปิดปากสูดอากาศเล็กน้อย “เคี้ยว” คลึงไวน์เบา ๆ ให้ทั่วปาก สัมผัสประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้รับและลองพิจารณาว่าชอบหรือไม่ ไวน์นั้นนุ่มนวลพอไหมหรือหยาบสากลิ้นชวนให้คอแห้ง เนื้อแน่นหรือเบาบาง มีแอลกอฮอล์สูงจนรู้สึกร้อนวาบในช่องปากหรือไม่ เปรี้ยว หวานหรือฝาดขมเกินไปไหม ไวน์ที่ชิมให้รสชาติที่ดีตั้งแต่ต้นจนจบหรือไม่ กลิ่นรสที่ดีเหล่านั้นติดตรึงไปได้นานแค่ไหน เหล่านี้คือตัวอย่างโจทย์ที่นักชิมจะต้องถามตัวเองและหาคำตอบให้ได้
ภาพจาก thoughtcatalog
ถึงเวลาตัดสินใจ
เมื่อคุณได้ชิมไวน์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว คุณได้ทำความเข้าใจรสชาติและประสบการณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่ไวน์สักฉลากหนึ่งสามารถมอบให้ได้ จากนี้ไปก็คือการตัดสินใจแล้วล่ะว่า คุณรู้สึกชอบหรือไม่ คุณอยากจะสัมผัสประสบการณ์นั้นซ้ำ ๆ หรือไม่ คุณอยากจะจ่ายเงินซื้อไวน์ขวดนี้หรือเชิญชวนเพื่อนที่คุณรักมาดื่มด้วยกันไหม อย่าลืมว่าปลายทางพวกนี้แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นเป้าประสงค์ของการชิมไวน์ เพราะการชิมไวน์จะทำให้คุณค้นพบทั้งไวน์และตัวตนของคุณเองด้วย คุณจะกลายเป็นนักชิมไวน์ที่ดีขึ้น เป็นนักเลือกไวน์ที่ดีขึ้น และเป็นผู้ซื้อไวน์ที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
เรียบเรียงและดัดแปลงจาก thewinecellarinsider
]]>
ไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาอย่างยาวนานนับหมื่นปีแล้ว และในช่วงที่สังคมเริ่มมีอารยะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไวน์ก็ได้ถูกดื่มด่ำโดยชนชั้นนำของอาณาจักรมากมาย ดังนั้นไวน์จึงได้รับการพัฒนาอย่างสูงตั้งแต่ในด้านการผลิตไปจนถึงธรรมเนียมการบริโภค อย่างที่เราทราบกันดีว่าในโลกของเรานั้นมีการศึกษาต่อยอดองค์ความรู้เกี่ยวกับไวน์ในทุกมิติอย่างลึกซึ้ง และไวน์ก็ถูกผูกติดเข้ากับภาพลักษณ์ที่หรูหราโอ่อ่าและความสำเร็จทั้งในด้านชื่อเสียง เงินตรา และสติปัญญา ดังนั้นการที่ไวน์ชั้นเยี่ยมจะเป็นเครื่องดื่มที่มีราคาสูงจึงไม่ใช่เรื่องที่ฟังดูแปลกนัก อย่างที่คงพอจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่าผู้มากด้วยบารมีบางคนดื่มไวน์ราคาขวดละเป็นหมื่นเป็นแสนกันเป็นประจำ
แต่ช้าก่อน!
วันนี้เราจะมาพูดถึงบรรดาไวน์ตัวท้อปของโลกที่มีราคาค่าตัวสูงเสียดฟ้าไปกว่านั้นมากจำนวน 5 ฉลากด้วยกันและถึงแม้เราจะจั่วหัวว่าเป็นไวน์แพงประจำปี 2017 แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าไวน์เหล่านี้ต่างก็ไม่ใช่ไวน์ช้างเผือกวัยกระเตาะแต่อย่างใด หากแต่ล้วนแล้วมีอายุอานามหลายทศวรรษทั้งสิ้น ประมาณว่าเป็นดาวค้างฟ้าดาราพันปีที่มีคุณค่าต่อจิตใจอะไรทำนองนั้นกันเลยทีเดียว
ก่อนจะไล่เรียงกันไป ต้องบอกไว้ด้วยว่าขณะที่เราเขียนอยู่นี้ ค่าเงินบาทกำลังแข็งเป๊กเลยล่ะ (ขนาดแข็งแล้วยังซึ้ง!)
ไวน์ยี่ห้อดังระดับต้น ๆ ของโลกในปัจจุบัน ที่ใครได้ชิมก็คงต้องบอกว่าทำบุญมาดีจริง! เอาเฉพาะไวน์คุณภาพชั้นเลิศที่สำนักนี้ผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นการทั่วไปก็มีราคาราว ๆ ขวดละ 50,000 – 60,000 บาทเข้าไปแล้ว (ถ้าเป็นแถวนี้ก็เฉียดแสนล่ะ) ทีนี้ เรื่องที่นำมาซึ่งความแพงหนักเข้าไปอีก (และออกจะเศร้าหนักมาก) ก็คือในปี 1989 มีพ่อค้าชื่อ William Sokolin ได้ประมูลไวน์ขวดหนึ่งมาครองในราคาประมาณ 5,300,000 บาท ไวน์เจ้ากรรมขวดนี้ซึ่งถูกพบอยู่หลังกำแพงในห้องเก็บไวน์แห่งหนึ่งในปารีสก็คือ Chateau Margaux ปี 1875 ซึ่งเคยเป็นสมบัติของ Thomas Jefferson ผู้ยิ่งใหญ่มาก่อนนั่นเอง
ในฐานะพ่อค้าไวน์เขาจึงอดไม่ได้ที่จะดีใจลิงโลดขนาดหนักและประเมินราคาไว้ว่าน่าจะขึ้นไปได้ถึงประมาณ 17 ล้านบาทกว่า ๆ (ในขณะนั้น!)
เรื่องเศร้าบังเกิดขึ้นเมื่อเขาได้เชิญบรรดาเจ้าของบริษัท Chateau Margaux ในตอนนั้นมาร่วมสังสรรค์ที่บ้าน และได้หยิบไวน์สุดเทพขวดนี้ออกมาแสดงอย่างภาคภูมิใจ เขาได้เริ่มเดินไปรอบห้องเพื่ออวดโฉมเจ้าไวน์ขวดนี้ต่อบรรดาแขกเหรื่อในงาน ทว่าในจังหวะเวลาแห่งความปลื้มปีตินั้นความประมาทก็บังเกิด ขวดไวน์อายุ 114 ปีดันไปกระแทกเข้ากับเก้าอี้ตัวหนึ่งจนทำให้ขวดแตกเป็นรูใหญ่ถึง 2 แห่งด้วยกันพร้อมกับไวน์ที่หกเรี่ยราดไปทั่วพื้นห้อง งานเลี้ยงจึงจบลง
งานนี้บริษัทประกันภัยยอมจ่ายให้เป็นเงิน 225,000 เหรียญ หรือตีเป็นค่าเงินปัจจุบันก็ราว 7,660,000 กว่าบาทเท่านั้นเอง (เอาเข้าจริงก็คงไม่ย่ำแย่ถึงขีดสุดกระมัง เพราะตา William ก็กำไรนิดหน่อยอยู่ดีนั่นแหละ)
งานประมูลระดับโลก Sotheby ประจำปี 2010 ในประเทศจีนนั้นเรียกเสียงฮือฮาอย่างหนักจากวงการไวน์ เนื่องจากมีการประมูลไวน์ของ Chateau Lafite ปี 1869 ซึ่งเปิดมาด้วยราคาขวดละประมาณ 270,000 บาท แต่การแข่งขันนั้นร้อนแรงจัดมากจนกระทั่งมีการดันราคาไปสิ้นสุดลงที่ขวดละเกือบ 8 ล้านบาทเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ อาเฮียผู้ชนะการประมูลสำหรับไวน์ฉลากนี้ก็ได้จัดหนักจัดเต็มประมูลเหมาไวน์ฉลากนี้กลับบ้านไปถึง 3 ขวด หมดงานกันไป
อันที่จริงแล้ว Heidsieck เป็นแชมเปญ (ไม่ใช่ไวน์) แต่ในรายการราคาระดับนี้เราก็พอจะนับรวม ๆ กันไว้ได้กระมัง
เรื่องราวมีอยู่ว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เรือดำน้ำของเยอรมนีลำหนึ่งได้โจมตีเรือส่งสินค้าของสวีเดนซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปส่งของยังราชสำนักของซาร์นิโคลัสที่ 2 จนอับปางลงไปนอนอยู่ก้นอ่าวฟินแลนด์ จริงอยู่ว่าไม่มีลูกเรือได้รับบาดเจ็บใด ๆ เนื่องจากทหารเยอรมันอนุญาตให้สละเรือออกไปจนหมดก่อนที่จะกดตอร์ปิโดเข้าใส่ (แหม ขอบคุณนะ)
เรือลำนี้จมอยู่อย่างนั้นถึง 80 ปี ก่อนที่จะถูกกู้ขึ้นมาในปี 1997 และได้เผยโฉมสินค้าที่อยู่ภายใน ในบรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่ได้กลับสู่แผ่นดินเหล่านั้น มีแชมเปญปนอยู่ราว 2,000 ขวดด้วย ในจำนวนนั้นมีอยู่ประมาณ 1,000 ขวดที่ยังคงดื่มได้และถูกวางขายในราคาขวดละ 9 ล้านกว่าบาทตามโรงแรมล้ำ ๆ บางแห่งและงานประมูลเฉพาะกลุ่ม
ในปีที่ Chateau Cheval Blanc ต้องเผชิญกับสภาวะอากาศที่เลวร้ายอย่างหนักจนกระทั่งการผลิตไวน์เสียหายแทบทั้งหมดตั้งแต่การเพาะปลูกองุ่นไปจนถึงการผลิตและจัดเก็บไวน์นั้น มีไวน์บางถังที่หลงรอดมาได้โดยที่ไม่บูดเน่าไปเสียก่อนและได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ไวน์เหล่านี้มีรสชาติที่ดีมากและได้รับการยอมรับจากนักชิมไวน์ว่าเป็นหนึ่งในไวน์บอร์กโดซ์ที่ดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว
ชื่อชั้นเช่นว่านี้ส่งผลให้ไวน์ฉลากนี้ถูกประมูลไปในราคาสูงถึงกว่า 10 ล้านบาท ที่งานประมูล Christies ในเจนีวาเมื่อปี 2010 ทั้ง ๆ ที่ ก่อนหน้านั้นไม่กี่ปีราคาของไวน์ฉลากนี้เคยอยู่ที่เพียงหลักแสนเท่านั้น
นอกจากนี้แล้ว ในปี 2008 ยังมีผู้โชคดีส้มหล่นสุด ๆ คนหนึ่ง ที่ได้ซื้อไวน์ชุดนี้ไป 1 ลังในราคาเพียงเกือบ ๆ 5 ล้านบาท ในขณะที่หากคำนวณอ้างอิงตามราคาล่าสุดแล้ว ไวน์ลังนี้น่าจะมีราคาสูงถึงกว่า 122 ล้านบาทเลยทีเดียว
ไวน์ขนาด 6 ลิตร ที่มีราคาขวดละ 17 ล้านบาทนี้เป็นไวน์ตัวท้อปน้องใหม่ (มาก) ที่ได้รับการรีวิวให้คะแนนสูงที่สุดฉลากหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ผู้ผลิตได้นำออกมาจำหน่ายเพียงแค่ 175 ลังต่อรอบเท่านั้น และในปีหลัง ๆ มานี้ จำนวนที่ว่าก็ยิ่งลดลงไปเรื่อย ๆ
ตามปกติแล้ว ไวน์ฉลากนี้ไม่ได้มีราคาที่สูงลิบลิ่วถึงเพียงนี้ หากแต่ว่าราคา 17 ล้านที่ได้มานั้น เกิดขึ้นในงานประมูลเพื่อการกุศลของบรรดาเหล่าเศรษฐีเมื่อปี 2000 นั่นเอง
เรื่องอะไรที่ดีต่อใจ พอตีค่าออกมาเป็นเงินก็สูงแบบนี้แหละ ซึ้งไหมล่ะ!
]]>ภาพจาก highlandsselfstorage
คุณเคยใช่ไหม ที่นึกครึ้มอกครึ้มใจเปิดไวน์มานั่งจิบเพลิน ๆ สัก 1-2 แก้ว แล้วก็เก็บเอาไว้ดื่มต่อวันหลัง แต่จนแล้วจนรอด เวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ ไวน์เจ้ากรรมก็ยังคงถูกวางเอาไว้อย่างนั้น ไม่มีใครมาดื่มด่ำต่อเสียที ซ้ำร้าย ไวน์ขวดนั้นอาจถูกปิดขวดไว้อย่างลวก ๆ ด้วยจุกที่ไม่สมบูรณ์ หรือกระทั่งไม่ได้ถูกปิดเลยด้วยซ้ำ ในกรณีเช่นนี้ หากเป็นไวน์ทั่ว ๆ ไป เราก็พออนุมานได้เลยล่ะว่ามีโอกาสที่ไวน์จะเสียไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียดายแย่
การเปิดไวน์ทิ้งค้างเอาไว้เป็นสัปดาห์อย่างที่ว่ามานี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดาในโลกของการดื่มไวน์ และอาจจริงอยู่ว่าไม่ได้ส่งผลอะไรมากนักสำหรับไวน์ดีกรีสูง ๆ จำพวกฟอร์ติไฟด์ไวน์ (ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่า 18%) แต่สำหรับน้ำไวน์ธรรมดาแล้วนี่คือสภาวะที่เรียกได้ว่าร้ายแรงและส่งผลเสียหายมากที่สุดอย่างหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากขวดที่ถูกเปิดขึ้นแล้วนั้นไม่ได้ถูกจัดเก็บไว้อย่างเหมาะสมเพื่อรักษาสภาพและยืดอายุของมันออกไปเป็นการเฉพาะ
ก็ลองดูสภาพอากาศบ้านเราสิ ไม่รอดแน่นอน
เสียหรือไม่ จะรู้ได้ไง?
วันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับทุกคนที่จะนำไปใช้ประเมินได้ว่าไวน์ขวดใดขวดหนึ่งนั้นเข้าข่าย “เสีย” และควรถูกกำจัดไปให้พ้นได้แล้วหรือยัง
ภาพจาก lowveld.getit
ลักษณะของน้ำไวน์
ประเด็นนี้ไม่ซับซ้อนอะไรเลย หน้าตาและสารรูปของไวน์เสีย ๆ นั้นจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน คุณเพียงต้องใส่ใจพิจารณาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
น้ำไวน์ขุ่นมัว และมีชั้นฟิล์มบาง ๆ ลอยอยู่
ภาพจาก homebrewforum
ถ้าไวน์ที่คุณเปิดไว้ไม่ได้ขุ่นตั้งแต่แรก ความขุ่นมัวที่เกิดนั้นอาจสะท้อนถึงสภาวะการเติบโตของแบคทีเรียบางชนิดได้
สีสันผิดเพี้ยนไป มีโทนสีน้ำตาลเจือปน
ภาพจาก winemakingcenter
ไวน์สีน้ำตาลไม่ได้หมายถึงไวน์ที่ย่ำแย่ในตัวเอง ในโลกนี้มีไวน์โทนสีนี้ที่โดดเด่นอยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่กรณีนี้ไวน์ที่เริ่มเปลี่ยนสีไปในโทนน้ำตาลมากขึ้นหลังจากเปิดขวดแล้วต่างหากที่เป็นปัญหา เพราะสีสันที่เปลี่ยนไปนั้นแสดงถึงสภาวะที่น้ำไวน์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศนั่นเอง ยิ่งสีเข้มมากก็ยิ่งช้ำหนัก
มีฟองอากาศเล็ก ๆ เกิดขึ้น
ฟองซึ่งเกิดตามมาทีหลังนั้นเปรียบได้กับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เพราะมันสื่อถึงกระบวนการหมักซึ่งเกิดซ้ำอีกโดยที่คุณไม่ต้องการ และหากไวน์ของคุณเกิดฟองแบบนี้ขึ้นมาแล้ว เรารับประกันเลยว่ามันจะไม่กลายเป็นสปาร์คกลิ้งไวน์รสดีอย่างแน่นอน แต่จะออกไปทางบูด ๆ ซ่า ๆ แนวน้ำหมักเสียมากกว่าแหวะนะ
กลิ่น
ภาพจาก foodandwine
ผิดสีแล้วย่อมมีผิดกลิ่น และกลิ่นประเภทฉุนกึก อับ ๆ ตุ ๆ ก็เป็นกลิ่นที่คงจะไม่เหมาะกับเครื่องดื่มนักจริงไหมล่ะ
กรดอะซิติก
แบคทีเรียบางชนิดสามารถสร้างกรดอะซิติกขึ้นและเปลี่ยนน้ำไวน์ให้กลายเป็นน้ำส้มสายชูหมักได้ กลิ่นที่เกิดขึ้นก็จะเหม็นเปรี้ยว ฉุนแหลมชนิดที่ว่าแทงจมูกกระจุยกระจายเลยล่ะ ลาก่อนเจ้าไวน์น้อย
ออกซิเดชั่น (Oxidation)
หากคุณปล่อยให้ไวน์สัมผัสกับอากาศเป็นเวลานานแล้วล่ะก็ สิ่งที่จะตามมาก็คือกลิ่นอับ ๆ ทื่อ ๆ ที่เหมือนพวกอาหารเก่าค้างคืน กลิ่นถั่วตุ ๆ หรือไม่ก็กลิ่นออกหวานคล้ายมาร์ชแมลโลว์ไหม้ที่อบอวลอยู่ในทุกอณูไวน์ของคุณนั่นเอง
รีดักชั่น (Reduction)
กลิ่นนี้แตกต่างจากกลิ่นเพี้ยน ๆ อย่างอื่นตรงที่มา เพราะว่านี่คือไวน์ที่เสียมาตั้งแต่กระบวนการผลิตหรือการจัดเก็บที่ไม่สู้ดีนัก โดยเป็นอาการที่เกิดขึ้นเพราะไวน์ได้สัมผัสอากาศ (ออกซิเจน) น้อยจนเกินไป ซึ่งกลับกันกับกลิ่นก่อนหน้านี้นั่นเอง กลิ่นที่เกิดจากสาเหตุนี้จะเหม็นคล้ายยางไหม้ กระเทียม หัวไม้ขีดไฟไหม้ และอาจหนักหนาถึงคล้ายไข่เน่าเลยทีเดียวความเสียหายแบบนี้พอแก้ไขได้ด้วยการให้ไวน์ได้หายใจก่อนดื่ม แต่ถ้าความรุนแรงหนักหน่วงก็คงเกินเยียวยาจริง ๆ
ทั้งนี้ ข้อมูลเบื้องต้นบ่งชี้ว่า ตามปกติแล้วไวน์ 1 ใน 75 ขวดจะมีปัญหาเกี่ยวกับข้อบกพร่องในการผลิตและการจัดเก็บเช่นนี้ ซึ่งจะเรียกในภาษาอังกฤษว่า Wine Fault
รส
ภาพจาก bentleysgrill
อันที่จริงก็คงไม่มีใครอยากลองชิมไวน์เสียหรอก แต่ถ้าหากโอกาสนั้นเป็นของคุณแล้ว ก็ขอให้ทำใจและเรียนรู้มันไป (น่าจะซึ้งพอสมควร) ไวน์เสียคงไม่ทำให้คุณตาย แต่ว่ารสชาติที่เลวร้ายอาจทำลายจิตใจของคุณได้เลยทีเดียว โดยมากรสของไวน์เสียก็จะเปรี้ยวจัดคล้ายน้ำส้มสายชูหากมีการติดเชื้อ หรือไม่ก็มีรสออกหวานแหยะๆ จากการที่ไวน์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเป็นเวลานานเกินไป
วิธีฝึกเช็คกลิ่น
ภาพจาก farmflavor
เรื่องนี้ไม่ยาก หากว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณมีโอกาสได้พบไวน์เสีย ๆ หรือดันทำบางอย่างพลาดไปและทำให้ไวน์ต้องจบชีวิตลงแล้วล่ะก็ ขอให้เตรียมกระดาษและปากกาก่อนเตรียมถังขยะ และจงเรียนรู้จากไวน์อาจารย์ใหญ่เหล่านี้ให้มากที่สุดเสียก่อน อย่าให้เสียของ!
]]>ภาพจาก internationalsupermarketnews
บอกตามตรงว่าย้อนไปแค่เพียงไม่กี่ปีก่อน เราก็ไม่เคยคิดเลยว่าวันที่นักดื่มสายแข็งขาลุยอย่างเราจะเริ่มหันมาสนใจการจิบไวน์เบา ๆ คลอเสียงเพลงจะมาเยือน แต่มันก็มาจนได้ และเมื่อเราได้พูดคุยกับเพื่อน ๆ รอบตัวแล้วก็พบว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แต่หลายต่อหลายคนในวัยเราก็กำลังเดินมาสู่จุดเดียวกัน และก็แบบไม่ทันตั้งตัวกันทั้งนั้นเลยด้วย (คงเตรียมใจไม่ทัน อิอิ)
ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือ ในเมื่อไม่ได้เคยสนใจหาข้อมูลเอาไว้ก่อนเลย ก็ทำให้ไปไม่ค่อยเป็น มีอะไรในรายการของร้านก็ลองเลือกมาแกว่ง ๆ ดื่ม ๆ วางมาดทำทีเป็นเซียนไวน์เสียอย่างนั้น ส่วนเวลาไปเดินเลือกเองเหรอ? ต้องนี่เลย ฉลากดูดีมีสไตล์ตามสมัยนิยม เรียกว่าดื่มแล้วถ่ายภาพขึ้นแน่นอน
ภาพจาก www.ateriet
ก็ฟังดูโอเคอยู่... แต่จะดีกว่าไหม ถ้าคุณรู้ว่าคุณเพิ่งหยิบอะไรมา?
ผู้รู้ (ตัวจริง) แนะนำไว้ว่าอย่างน้อยที่สุด มีสิ่งที่คุณควรจะทำสัก 2 อย่าง เมื่อคุณไปหาซื้อไวน์ อย่างแรกก็คือคุณควรรู้จักสายพันธุ์องุ่นแต่ละชนิด และอย่างที่สอง คุณควรจะพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคนที่รู้เรื่องไวน์อย่างแท้จริงให้มาก ไม่ว่าเขาจะเป็นพนักงานขาย ผู้จัดการร้าน หรือซอมเมอลิเยร์มือฉมังก็ตาม
เขายังเตือนอีกว่าหากคุณไม่ใส่ใจสองข้อนี้แล้วล่ะก็ มีโอกาสสูงมากที่คุณจะเป็นหนึ่งในบรรดาหน้าใหม่ที่เลือกซื้อ Moscato มา และต้องพบว่ามันเป็นไวน์ที่หวานเข้าไส้ไปเลย เรื่องพลาดแบบคลาสสิกนี้โดนใจเราอย่างน่าทึ่งมากเพราะในตอนที่เราเริ่มดื่มไวน์แรก ๆ เราเองก็เคยพยายามจะสั่งเจ้า Moscato มาหล่อลื่นนัดเดท ทั้งที่บริกรก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่ามันหวาน และสุดท้ายก็ต้องหงายเงิบเมื่อพบว่าไวน์ที่ได้มานั้นมีรสชาติที่ผิดที่ผิดเวลาหนักมาก (เรามารู้ทีหลังว่า เราอยากจะดื่ม Moscato d’Asti ต่างหาก) ที่หนักก็คือค่ำคืนนั้นยังต้องวางมาดนิ่งดื่มให้อีกฝ่ายจนหมดด้วยนะ ความจริงหน้าแตกสุด ๆ ไปเลย พูดแล้วเหนียวคอจัง ฮ่า
กลับมาว่ากันถึงเรื่องการเลือกไวน์ให้เป็น ผู้รู้อีกท่านวางแนวทางให้พวกเราดังนี้
ภาพจาก wineshopathome
อ๊ะ ๆ การอ่านฉลาก ไม่เหมือนกับการดูลายฉลากนะ เขาชี้ว่าไวน์ใด ๆ ก็ตามที่เขียนระบุว่าเป็น Table Wine หรือ California Wine นั้น แสดงถึงไวน์ที่ผลิตจากองุ่นซึ่งเก็บรวบรวมมาจากพื้นที่ขนาดใหญ่มาก คืออาจครอบคลุมไปทั่วทั้งรัฐ ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ไวน์เหล่านี้มีรสชาติที่ขาดความซับซ้อนและไม่สมดุลเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าจะถูกผลิตขึ้นด้วยกระบวนวิธีที่ยอดเยี่ยมเพียงใดก็ตาม
การลดราคานั้นเกิดขึ้นเสมอในเรื่องราวของการซื้อขาย แต่คุณควรจะเข้าใจว่า มีเหตุผลสองประการหลักที่ไวน์ฉลากหนึ่ง ๆ จะถูกนำมาลดราคา นั่นคือ 1) ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเสพรสของไวน์ขวดนั้นได้ผ่านไปแล้ว และ 2) ของขายไม่ออกไงล่ะ สองข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าไวน์โปรโมชั่นเหล่านี้จะเป็นไวน์ที่ห่วยแตกแต่อย่างใด เพียงแต่เขาชี้แนะว่าเราควรจะรู้ให้ชัดก่อนหยิบ ไม่ใช่สักแต่ว่ากว้านซื้อไวน์ลดราคามาไว้เต็มบ้าน
ภาพจาก surfingmadonnarun
คุณควรจะชัดเจนในความต้องการของคุณ ไม่เช่นนั้นพนักงานก็จะแนะนำไปอย่างผิด ๆ ถูก ๆ ในที่สุด เขายกตัวอย่างว่า หากคุณพูดกว้าง ๆ ว่า คุณต้องการไวน์แนวหวาน ๆ เช่นนี้คุณอาจจะได้ไวน์หวานจ๋อยมานั่งดื่มแบบจ๋อย ๆ ก็เป็นได้ (ในกรณีที่คุณไม่ได้หมายความถึงรสหวาน) ในขณะที่คุณพลาดโอกาสลิ้มลองไวน์กลิ่นหอมหวานคล้ายผลไม้ แต่มีรสชาติคมกริบสบายคออย่างที่คุณต้องการไป เรื่องสเปคก็ต้องชัดเจนตรงประเด็นเข้าไว้แล้วจะได้ของถูกใจนะหนุ่มสาว
ภาพจาก sensibus
ในโลกของไวน์นั้น แนวทางการจับคู่กับอาหารมีอยู่ 2 แนวด้วยกัน คือ เสริมรส และตัดรส ซึ่งก็ถูกทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบแบบสำนักไหน หากคุณต้องการให้ไวน์และอาหารเสริมรสกันและกันแล้วล่ะก็ มีสูตรให้จำง่าย ๆ คือ แน่น-แน่น และ บาง-บาง เป็นต้นว่า อาหารทะเลและเนื้อไก่ กินคู่กับไวน์ขาว ในขณะที่เนื้อแดงและเนยแข็งนั้นจะมาคู่กับไวน์แดง อันที่จริงแล้วเราจะเห็นแนวปฏิบัตินี้ค่อนข้างแพร่หลายมากทีเดียวในประเทศไทย สำหรับการตัดรสนั้นจะค่อนข้างเป็นท่ายากขึ้นมาเล็กน้อย ตัวอย่างคู่เด็ดก็คือ หอยนางรมกับไวน์ขาว Sauvignon Blanc จากฝั่งโลกใหม่ ที่เป็นการปะทะสังสรรค์กันอย่างลงตัวระหว่างรสนัวเค็มและกลิ่นหอมผลไม้นั่นเอง
ภาพจาก communitytable
โรเซ่ คือไวน์หมัดเด็ดที่จะช่วยให้คุณเอาตัวรอดไปได้ในทุกสถานการณ์ เพราะว่าโรเซ่เป็นไวน์ที่มีรสเปรี้ยวฉ่ำบาง ๆ สดชื่น และไปกันได้ดีกับอาหารส่วนใหญ่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นปลาหรือเนยแข็ง แถมสีชมพูก็ดูแล้วสบายใจ จะโรแมนติกก็ได้หรือจะทางการก็ผ่าน เซียนไวน์ท่านนี้ยังเสริมอีกว่าหากจะให้ชัวร์ก็ขอเป็น Sparkling Rose (แบบซ่า) แล้วกัน
สมัยนี้ผู้คนมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้นเยอะ จะอะไรก็กดถามอินเทอร์เน็ตกันได้ทุกเมื่อ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับไวน์ก็เช่นกัน (และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท) คุณสามารถค้นหาข้อมูลความรู้ได้จากแหล่งออนไลน์มากมาย Wishbeer.com ก็เป็นหนึ่งในแหล่งที่มีคุณภาพที่สุดเลยล่ะ
ลองเข้าไปดูที่ https://www.wishbeer.com/wine และคุณจะพบว่ามีไวน์มากมายรอคุณอยู่พร้อมคำบรรยายรสชาติเสร็จสรรพ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังคัดสรรไวน์มาจัดเป็นเซ็ทให้คอไวน์หน้าใหม่ได้ลองดื่มกันอีกด้วย
ลองดูตัวอย่างชุดไวน์แดงสำหรับผู้เริ่มต้นได้ที่นี่ https://www.wishbeer.com/en/red wine
และชุดไวน์ขาวสำหรับผู้เริ่มต้น ที่นี่ https://www.wishbeer.com/en/white wine
]]>